Last updated: 4 ก.พ. 2568 | 5 จำนวนผู้เข้าชม |
หลุมสิวเป็นปัญหาที่กวนใจใครหลายคน แม้ว่าสิวจะหายไปแล้ว แต่เมื่ออายุมากขึ้น หลุมสิวกลับดูชัดขึ้นกว่าเดิม ทั้งที่อาจเคยเป็นเพียงเล็กน้อยในวัยหนุ่มสาวปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ โครงสร้างผิวที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัย การเสื่อมสภาพของคอลลาเจน อีลาสติน ไขมันใต้ผิว และเส้นใยพังผืดที่ยึดหลุมสิวไว้บทความนี้จะเจาะลึกถึงโครงสร้างของผิวหนังและการเปลี่ยนแปลงตามอายุกลไกของการกระตุ้นคอลลาเจนในแต่ละรูปแบบการเปรียบเทียบผลลัพธ์ของการรักษาต่างๆความแตกต่างของผิวระหว่างคนที่ดูแลกับคนที่ไม่ดูแลเลย
บทความนี้จะเจาะลึกถึง
1. โครงสร้างของผิวหนัง และการเปลี่ยนแปลงตามอายุ
โครงสร้างผิวหนังชั้นลึก (Deep Skin Structure)
ผิวหนังของเราประกอบไปด้วย 3 ชั้นหลัก ได้แก่
หลุมสิวเกิดจาก พังผืด (Fibrotic Scar) ที่ดึงรั้งลงไปถึงชั้นหนังแท้ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ผิวหนังชั้นนี้จะบางลง เส้นใยคอลลาเจนแตกตัว ทำให้หลุมสิวดูลึกและชัดขึ้น
2 การลดลงของคอลลาเจนและอีลาสติน
คอลลาเจนคืออะไรและทำไมมันสำคัญต่อผิว?
คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่พบมากที่สุดในร่างกายมนุษย์ คิดเป็นประมาณ 30% ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย โดยคอลลาเจนจะทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักในการยึดเกาะเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกันในหลายอวัยวะ เช่น ผิวหนัง กระดูก เส้นเอ็น และหลอดเลือด
ในผิวหนัง, คอลลาเจนอยู่ใน ชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการให้ความแข็งแรง ความกระชับ และความยืดหยุ่นแก่ผิว หากไม่มีคอลลาเจน ผิวก็จะสูญเสียความกระชับและเกิดริ้วรอยได้ง่าย
กลไกที่ทำให้คอลลาเจนลดลงเมื่ออายุมากขึ้น
2.1 คอลลาเจนจะถูกผลิตโดยเซลล์ที่เรียกว่า ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงการผลิตคอลลาเจนในผิวหนัง เมื่อเราอายุมากขึ้น เซลล์ไฟโบรบลาสต์จะมีประสิทธิภาพในการผลิตคอลลาเจนลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ คอลลาเจนที่ผลิตใหม่ มีปริมาณน้อยลงและคุณภาพไม่ดีเท่ากับคอลลาเจนที่ผลิตในวัยเยาว์
2.2 การเสื่อมของคอลลาเจนจากกระบวนการออกซิเดชัน
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คอลลาเจนลดลงคือกระบวนการ ออกซิเดชัน (Oxidation) ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาระหว่าง อนุมูลอิสระ (Free Radicals) กับคอลลาเจน อนุมูลอิสระเหล่านี้จะเกิดจากการสัมผัสกับมลภาวะต่างๆ เช่น แสงแดด, มลพิษ, การสูบบุหรี่, และอาหารที่มีไขมันสูง การทำลายคอลลาเจนจากอนุมูลอิสระจะทำให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพและย่อยสลายไปเร็วกว่าที่ร่างกายจะสามารถสร้างใหม่ได้
2.3 กระบวนการ Glycation
เมื่อเรากินอาหารที่มีน้ำตาลสูง น้ำตาลจะเชื่อมต่อกับ โปรตีน (รวมถึงคอลลาเจน) ในกระบวนการที่เรียกว่า Glycation ซึ่งจะทำให้โปรตีนเหล่านั้นเสื่อมสภาพ การ glycation ทำให้คอลลาเจนแข็งขึ้นและสูญเสียความยืดหยุ่น ผิวจึงเริ่มมีลักษณะหยาบกร้านและหลุมสิวจะดูชัดขึ้น
2.4 การสูญเสียคอลลาเจนจากการลดฮอร์โมน
ฮอร์โมนก็มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน โดยเฉพาะในช่วงที่ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ลดลงในช่วงวัยทองหรือการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนเอสโตรเจนช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิวหนัง เมื่อระดับเอสโตรเจนลดลงในวัยกลางคน คอลลาเจนก็จะลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้ผิวเริ่มหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอย
2.5 ปัจจัยจากแสงแดด (Photoaging)
แสงแดด เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้คอลลาเจนในผิวหนังเสื่อมสภาพ โดย UV rays จากแสงแดดจะทำลายคอลลาเจนในผิวโดยตรง ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า Photoaging นอกจากทำให้คอลลาเจนในผิวสลายแล้ว แสงแดดยังกระตุ้นการผลิตอนุมูลอิสระที่ไปทำลายเนื้อเยื่อของผิว รวมถึงคอลลาเจน ทำให้หลุมสิวดูชัดเจนขึ้น
3 ผลกระทบจากการลดลงของคอลลาเจนต่อผิวหนัง
3.1 การเกิดริ้วรอยและหลุมสิว
เมื่อคอลลาเจนลดลง โครงสร้างของผิวจะสูญเสียความยืดหยุ่นและความกระชับ ทำให้ ริ้วรอย และ หลุมสิว เริ่มเห็นชัดขึ้น โดยเฉพาะในคนที่มีหลุมสิวอยู่แล้วจะสังเกตเห็นว่าหลุมสิวลึกขึ้นและขอบของหลุมสิวจะชัดเจนมากขึ้นตามอายุ
3.2 ความหย่อนคล้อยของผิว
การสูญเสียคอลลาเจนจะทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น และสูญเสียโครงสร้างที่ทำให้ผิวหน้าเต่งตึง ส่งผลให้ผิวดูหย่อนคล้อยและเหี่ยว ซึ่งมักจะเห็นได้ชัดในบริเวณ กรอบหน้า และ ใต้ตา
3.3 ความเสียหายจากแสงแดด
เมื่อคอลลาเจนลดลง, ผิวจะไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ดีเท่าที่ควร เมื่อถูกทำลายจากแสงแดดบ่อยครั้ง การฟื้นฟูผิวจะยิ่งช้าลง และจะมีปัญหาหลุมสิวและริ้วรอยที่ยากจะรักษา
การลดลงของคอลลาเจนในร่างกายเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อเรามีอายุมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหลังอายุ 25 ปี คอลลาเจนในร่างกายเริ่มลดลงในอัตราประมาณ 1% ต่อปี และการลดลงนี้มีผลกระทบต่อผิวหนังอย่างมาก เพราะคอลลาเจนเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความกระชับและยืดหยุ่น ในบทนี้จะลงลึกถึงกลไกทางชีววิทยาที่ทำให้คอลลาเจนลดลงและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อผิวหนัง
> อ้างอิง: Varani et al., 2006, Journal of Investigative Dermatology
4.การสูญเสียไขมันใต้ผิวหนัง
ชั้นไขมันที่เคยช่วยรองรับใบหน้าจะลดลง ทำให้โครงสร้างผิวไม่มีตัวค้ำยัน ส่งผลให้หลุมสิวดูบุ๋มลึกขึ้น และขอบแผลเป็นเด่นชัดขึ้น
การรักษาหลุมสิวให้ได้ผลดีจำเป็นต้องกระตุ้นคอลลาเจน : เพราะคอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สำคัญในการซ่อมแซมผิวและช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและกระชับ ซึ่งหลุมสิวเกิดจากการที่คอลลาเจนในผิวถูกทำลายไปในระหว่างกระบวนการการอักเสบของสิว เมื่อหลุมสิวเกิดขึ้น จะเป็นการสูญเสียคอลลาเจนในพื้นที่นั้น ซึ่งทำให้เกิดร่องลึกหรือแผลเป็นที่มองเห็นได้ชัดเจน
การกระตุ้นคอลลาเจนในการรักษาหลุมสิวมีความสำคัญเพราะ :
1. การซ่อมแซมผิวที่เสียหาย
คอลลาเจนทำหน้าที่เป็น "โครงสร้าง" ที่ช่วยให้ผิวหนังมีความกระชับและเต็ม อาการของหลุมสิวคือการที่ผิวไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ จึงจำเป็นต้องกระตุ้นให้ผิวผลิตคอลลาเจนใหม่เพื่อเติมเต็มช่องว่างที่เกิดจากการทำลายของสิว การกระตุ้นคอลลาเจนจะช่วยให้ผิวฟื้นตัวและหลุมสิวตื้นขึ้น
2. เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรง
เมื่อผิวถูกกระตุ้นให้สร้างคอลลาเจนใหม่, ผิวจะกลับมาแข็งแรงและยืดหยุ่นเหมือนเดิม ซึ่งจะช่วยให้ผิวที่มีหลุมสิวสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้น หลุมสิวที่เคยลึกจะดูตื้นขึ้น และการปรับปรุงสภาพผิวโดยรวมจะช่วยทำให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น
3. ลดการเกิดแผลเป็นในอนาคต
การกระตุ้นคอลลาเจนช่วยไม่เพียงแต่ซ่อมแซมหลุมสิวที่มีอยู่แล้ว แต่ยังช่วยลดโอกาสในการเกิดหลุมสิวในอนาคต เนื่องจากคอลลาเจนที่เกิดใหม่จะทำให้ผิวแข็งแรงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จึงมีโอกาสน้อยที่จะเกิดการเกิดแผลเป็นหรือหลุมสิวจากการอักเสบของสิวในอนาคต
4. กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
การกระตุ้นคอลลาเจนยังช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ (Cell regeneration) ซึ่งจะช่วยให้ผิวมีการฟื้นฟูตัวเองจากการบาดเจ็บหรือการอักเสบจากสิว ผิวที่ได้รับการกระตุ้นคอลลาเจนใหม่จะมีลักษณะผิวที่สดใสและดูเนียนขึ้น
กระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่
การกระตุ้นคอลลาเจนในกระบวนการรักษาหลุมสิวมักทำได้ผ่านหลายวิธี เช่น การทำ Microneedling, RF Microneedling, เลเซอร์, หรือการใช้ ฟิลเลอร์ กระบวนการเหล่านี้ช่วยทำให้เกิดการบาดเจ็บเล็กๆ ที่ผิวชั้นบน ซึ่งจะกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อซ่อมแซมจุดที่มีปัญหากระบวนการนี้จะช่วยลดหลุมสิวให้ตื้นขึ้นและช่วยให้การรักษามีผลระยะยาว
1.การใช้พลังงาน (Energy-Based Devices - EBDs)
2. สารกระตุ้นคอลลาเจน
3. การผ่าตัดตัดพังผืดใต้ผิว (Subcision)
กลไก: ใช้เข็มพิเศษตัดเส้นพังผืดที่ดึงรั้งหลุมสิว
ผลลัพธ์: หลุมสิวดีขึ้น 50-90% โดยเฉพาะหลุมที่มีพังผืดลึก
ข้อเสีย: ต้องทำร่วมกับการเติมเต็ม เช่น Filler หรือ Sculptra
> อ้างอิง: Journal of Cutaneous and Aesthetic Surgery, 2019
เปรียบเทียบผลลัพธ์ของคนที่ดูแลผิว vs. ไม่ดูแลเลย
สรุป
เมื่ออายุมากขึ้น โครงสร้างผิวที่เคยรองรับหลุมสิวเริ่มเสื่อมลง ส่งผลให้หลุมสิวดูลึกขึ้น วิธีการรักษาที่มีหลักฐานรองรับ เช่น Fractional Laser, RF Microneedling, Sculptra, Exosomes และ Subcision สามารถช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูโครงสร้างผิวได้
การดูแลรักษาผิวตั้งแต่อายุยังน้อย จะช่วยให้หลุมสิวไม่เด่นชัดขึ้นตามวัย การรักษาที่ Realclinic มีเทคนิคเฉพาะเพื่อฟื้นฟูหลุมสิวอย่างตรงจุด
Realclinic ทางเลือกของคนที่ต้องการแก้ปัญหาหลุมสิวอย่างมั่นใจ
หากคุณกำลังมองหาวิธีรักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจน และได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจปัญหาผิวหน้าอย่างแท้จริง Realclinic คือคำตอบของคุณ เราพร้อมช่วยคุณฟื้นฟูความมั่นใจและปรับผิวให้เรียบเนียนอีกครั้ง ด้วยเทคนิคเฉพาะ และทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ
โปรแกรมเด่นที่ Realclinic สำหรับหลุมสิว: Real Scar Synergy และ Juvgen
1. Real Scar Synergy: โปรแกรมผสานเทคนิคที่ตอบโจทย์ทุกประเภทหลุมสิว
คือ โปรแกรมรักษาหลุมสิวที่ออกแบบขึ้นโดย Dr.Ramita ซึ่งเน้นการรักษาโดยวิธีหัตถการแพทย์เป็นหลัก (Non-Energy Based Acne Scar Revision) ด้วยเทคนิคเฉพาะของ Dr.Ramita ผสมผสานหลายวิธีมาตรฐานที่มีงานวิจัยรองรับ เสริมด้วยเทคนิคพิเศษที่คุณหมอศึกษาเพิ่มเติมจากอาจารย์แพทย์ชาวเกาหลี คือการฉีดสารฟื้นฟูเติมเต็มร่วมกับฉีดก๊าซเข้าไปตัดพังผืดและไปกระตุ้นเนื้อเยื่อคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้เกิด Skin Regeneration ฟื้นฟูหลุมสิวด้วยคอลลาเจนของตัวเราเอง เพิ่มเติมด้วยสารฟื้นบำรุงช่วยปรับปรุงคุณภาพผิว เพื่อเสริมประสิทธิภาพการรักษาให้เห็นผลเร็วยิ่งขึ้น ลดการบวมช้ำ ไม่ต้องพักหน้า
คลิก อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
2. Juvgen คือการรักษาหลุมสิวที่ คุณหมอรมิตา ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจาก Dr. Jin Se-hun (ดร.จิน รักษาหลุมสิวเกาหลี) ศัลยแพทย์ตกแต่งชื่อดังชาวเกาหลี เทคนิคนี้มุ่งเน้นการกระตุ้นคอลลาเจนการ ฟื้นฟูผิวหนังด้วยตัวเอง โดยใช้การฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิกอนุภาคเล็ก (Hyaluronic Acid) เข้าสู่ชั้นหนังแท้บริเวณที่มีปัญหา เช่น หลุมสิว ริ้วรอยร่องลึก หรือแผลเป็นเนื้อผิวยุบตัว กระบวนการนี้จะช่วยสร้างเนื้อเยื่อผิวคอลลาเจนในปริมาณมากให้ขึ้นมามาทดแทนผิวหนังที่เคยยุบเป็นหลุม ให้สามารถฟูตัวขึ้นมา ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ เนื้อเยื่อใหม่ โดยไม่ทำลายโครงสร้างผิวหนัง หลังการรักษาประมาณ 3-5 วัน จะสังเกตเห็นการยกตัวของเนื้อเยื่อคอลลาเจนใหม่ที่ขึ้นมาช่วยลดเลือนแผลเป็นหลุมสิวความไม่เรียบเนียนของผิว
คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติม
3. เลเซอร์เกลี่ยขอบหลุมสิว ด้วยเครื่อง MCL Dermablate: ErbiumYAG