MCL Dermablate คือ นวัตกรรมเลเซอร์ที่ช่วยในการฟื้นฟูผิว รักษาริ้วรอย แผลเป็น หลุมสิว ปัญหารูขุมขนและลบริ้วรอย ได้อย่างมีประสิทธิภาพและผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ โดยการใช้พลังงานแสงเออร์เบียมแยกก์ที่เข้มข้น ซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนเมื่อลงไปยังชั้นหนังแท้ ความร้อนจะกระตุ้นให้หนังแท้สร้างเส้นใยคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ซึ่งเส้นใยคอลลาเจนที่สร้างขึ้นมานี้จะช่วยให้ผิวเรียบเนียน และแผลเป็นหลุมตื้นขึ้น การทำงานของเครื่องเลเซอร์ถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ส่งพลังงานแสงไปยังเนื้อเยื่อเป้าหมายอย่างแม่นยำ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชั้นหนังกำพร้า จึงทำให้เกิดแผลหลังการรักษาน้อยมาก
เทคโนโลยีเลเซอร์รักษาหลุมสิว คือ การส่งพลังงานแสงความเข้มข้นสูงละเอียดระดับไมครอนที่คลื่นความยาว 2,940 nm ซึ่งเป็นช่วงที่มีความจำเพาะเป็นพิเศษกับน้ำในชั้นผิวมากที่สุด ทำให้สามารถกรอชั้นผิวที่มีปัญหา (Skin resurfacing) ด้านบนโดยไม่เกิดอันตรายกับเนื้อเยื่อส่วนอื่นได้ และเกลี่ยขอบหลุมสิวให้จางลง รวมถึงผลัดเซลล์ผิวอย่างละเอียดอ่อนโยน ทำให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าการทำเลเซอร์กลุ่ม CO2 โดยใช้เวลาพักฟื้นเพียงสัปดาห์เดียว
พร้อมเทคโนโลยีไมโครเลนส์ชนิดพิเศษ ที่ทำให้เกิดลำแสงเลเซอร์เลเซอร์ขนาดเล็กถึง 169 MicroSpots ในการยิงเลเซอร์แต่ละครั้ง และยังสามารถตั้งค่าและควบคุมการรักษาได้อย่างแม่นยำ นอกจากนั้นยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลาlจน อีลาสตินในผิวชั้นลึก เป็นการแก้ปัญหาเรื่องหลุมสิวพร้อมทำให้ผิวในบริเวณที่ทำการรักษานั้นเรียบเนียนยิ่งขึ้น
หลุมสิวแบบใด ที่เหมาะกับการทำ MCL Dermablate
- หลุมสิวประเภท Boxcar, Icepick และ Rolling scars ที่มีความลึกของหลุมในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
- หลุมสิวชนิดที่มีขอบหนาคม โดยเฉพาะหลุมแบบกล่อง boxcar scars สามารถใช้เลเซอร์กรอขอบให้จางลงได้
- แผลเป็นสิวชนิดนูน (Hypertrophic scars)
- ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพผิว กระชับรูขุมขน ลดเลือนจุดด่างดำ ทำให้ผิวเนียนใสขึ้นด้วย
- เหมาะกับหลุมสิวที่มีความลึกระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
- เหมาะอย่างมาก ในหลุมสิวบริเวณกว้างที่มีความลึกระดับเดียวกัน
เทคนิคเฉพาะของ Dr.Ramita ด้วย MultiMode MCL Dermablate: ErbiumYAG- Focus Beam ปรับพลังงานระดับสูงให้ลงชั้นลึกเฉพาะจุด เพื่อไปกระตุ้นคอลลาเจนที่ก้นหลุมสิวทีละหลุมปรับหลังงานให้ Spread ลงชั้นบนเพื่อเกลี่ยขอบหลุมสิวให้เรียบเนียน อ่อนตัวจางลง อย่างละเอียด หลุมที่ขอบชัดจึงดูเรียบเนียนขึ้น
- Focal Ablative กรอขอบหลุมสิวทีละชั้นอย่างละเอียด layer by layer ให้อ่อนตัวจางลง หลุมที่หนาขอบชัดจึงดูเรียบเนียนขึ้น
- Fractional Erbium Resurfacing เกลี่ยผิวโดยรวมพร้อมกระตุ้นคอลลาเจนอย่างทั่วถึงครอบคลุม ซึ่งรักษาผิวทีละส่วนโดยไม่มีการรบกวนเนื้อเยื่อที่อยู่รอบๆ ด้วยเลเซอร์ที่มีอนุภาคเล็กมากจะเจาะลึกลงไปใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ เลเซอร์จะรักษาผิวทีละส่วนเท่านั้นจึงไม่ทำลายเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง ทำให้หายเป็นปกติในเวลารวดเร็ว สามารถแทรกลงไปยังเนื้อเยื่อผิวหนังชั้นแท้ (dermis) โดยแพทย์สามารถเลือกได้ว่าจะรักษาครอบคลุมพื้นที่มากน้อยเพียงใด
- สารฟื้นบำรุงสุดพิเศษ อุดมไปด้วย Growth Factor และสารอาหารผิวนานาชนิด ช่วยเสริมประสิทธิภาพการฟื้นฟูผิวให้ดียิ่งขึ้น
- Sterile Mask แผ่นมากส์ปลอดเชื้อ ปลอบประโลมผิว ช่วยลดผลข้างเคียง ลดdowntimeหลังทำเลเซอร์ ให้ผิวฟื้นตัวไวยิ่งขึ้น
จุดเด่น
- ผิวหน้าเรียบเนียน ผิวฟูขึ้น หลุมสิวตื้นขึ้นอย่างชัดเจน
- มีความแม่นยำสูงในการปล่อยพลังงานลงสู่ผิว
- ไม่เจ็บ ไม่แสบร้อนขณะทำ
- ราคาไม่แพง คุ้มค่าในการรับบริการ
- เห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงของผิวที่ดีขึ้นหลังทำ
- สามารถทำร่วมกับการทำ Subcision หรือหัตถการอื่นๆ เพื่อให้ผลลัพธ์ของการรักษาหลุมสิวดีขึ้นได้
1. เครื่องระดับโลก MCL Dermablate จากบริษัท Asclapion Laser Technologies ซึ่งเป็นผู้นำด้านเครื่องเลเซอร์ที่ได้มาตรฐานจากประเทศเยอรมนี
- เทคโนโลยีเลเซอร์ของ ASCLEPION ดำเนินงานมานานกว่า 35 ปีในฐานะผู้นำด้านเลเซอร์ทางการแพทย์ระดับนานาชาติในฐานะผู้ผลิตระบบเลเซอร์ขั้นสูงสำหรับวิทยาผิวหนัง เวชศาสตร์ความงาม และศัลยกรรม ASCLEPION ผลิตในเยอรมนี และความเชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว
- ปลอดภัย ผ่านการรับรอง ทั้ง USFDA และ อย.ไทย ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (USFDA) และได้รับ อย. ไทยแล้ว เป็นอีกหนึ่ง Gold Standard Laser ที่ได้รับความเชื่อถือจากวงการแพทย์ผิวหนังทั่วโลกในการรักษาหลุมสิว มีหลักฐานงานวิจัยหลายฉบับรับรองมาอย่างยาวนานกว่าสิบปี
ข้อมูลเพิ่มเติม https://asclepion.com/us/dermablate_us
2.พลังงานที่ออกมา- พลังงานที่ปล่อยออกมาเหมาะกับผิวเอเชีย ความร้อนน้อยกว่า แต่ละเอียดกว่า และจับเม็ดสีได้น้อยกว่า CO2 เพราะผิวคนเอเชีย มีเม็ดสีเมลานินที่หนาแน่นกว่าคนผิวขาว(คนยุโรป คนอเมริกา) จึงถูกกระตุ้นให้เกิดรอยดำได้ง่ายกว่า
- พลังงานงานแสงความเข้มสูงที่คลื่นความยาว 2,940 nm ซึ่งเป็นช่วงที่มีความจำเพาะเป็นพิเศษกับน้ำในชั้นผิว จึงสามารถผลัดเปลี่ยนเซลล์ใหม่ กรอชั้นผิวด้านบน (Skin resurfacing) ได้อย่างละเอียด โดยไม่เกิดอันตรายกับเนื้อเยื่อส่วนอื่นได้
- พลังงานเสถียร แม่นยำ คงที่ ควบคุมด้วยระบบ computer มาตรฐานสูง หายไว downtime น้อย ตัวเครื่องปรับได้ละเอียด และยิงพลังออกมาเล็กระดับไมครอน จึงมีผลข้างเคียงน้อย ไม่ต้องพักหน้านาน
3. แพทย์ผู้ทำ พญ. รมิตา ผ่านการทำอบรมการใช้เลเซอร์ขั้นสูง จากสถาบันอบรมระดับสากล
- ตัวเครื่องเป็นเลเซอร์ระดับสูง จึงจำเป็นต้องอาศัยเทคนิค ฝีมือ และความชำนาญของแพทย์ผู้ทำเป็นอย่างมากในการใช้
- แพทย์ผู้ใช้เครื่องต้องมีความรู้ลึก รู้จริง ในเรื่องของหลุมสิว วิเคราะห์ได้ว่าหลุมสิวแบบไหนต้องใช้การรักษาวิธีใดจึงจะเห็นผลและคุ้มค่าที่สุด
** เครื่องแบบเดียวกัน แพทย์ผู้ทำคนละคน ผลลัพธ์ย่อมต่างกัน เพราะสำคัญตั้งแต่การประเมินปัญหา วิเคราะห์และวางแผนการรักษา การปรับเครื่อง ปรับพลังงานให้ตรงกับจุดที่คนไข้มีปัญหา
เทคนิคเฉพาะของ Dr.Ramita ด้วย MultiMode MCL Dermablate: ErbiumYAG- Focus Beam ปรับพลังงานระดับสูงให้ลงชั้นลึกเฉพาะจุด เพื่อไปกระตุ้นคอลลาเจนที่ก้นหลุมสิวทีละหลุม
- Focal Ablative กรอขอบหลุมสิวทีละชั้นอย่างละเอียด layer by layer ให้อ่อนตัวจางลง หลุมที่หนาขอบชัดจึงดูเรียบเนียนขึ้น
- Fractional Erbium Resurfacing เกลี่ยผิวโดยรวมพร้อมกระตุ้นคอลลาเจนอย่างทั่วถึงครอบคลุม และผลัดเซลล์อย่างอ่อนโยน เพื่อให้ผิวโดยรวมเรียบเนียนสดใสยิ่งขึ้น
ข้อจำกัดการรักษา
- ผิวระคายเคือง ผิวบาง ผิวอักเสบ ขาดสมดุล ควรรักษาให้ผิวแข็งแรงขึ้นก่อน จึงจะสามารถทำเลเซอร์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- ผู้ที่ต้องออกแดดกลางแจ้งเป็นประจำ ไม่สามารถหลบเลี่ยงแดดได้เลยในช่วง 1-2 สัปดาห์
- ผู้ที่มีหลุมสิวระดับลึก มีพังผืดดึงรั้งใต้หลุมมาก ควรรักษาด้วยวิธีหัตถการแพทย์ก่อน จึงค่อยใช้เลเซอร์ช่วยเก็บรายละเอียดในภายหลัง
- ผู้ที่คาดหวังการหายของแผลเป็นหลุมสิวในระดับเนียนกริบแบบผิวปกติ 100% ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการใดทำได้แบบนั้น
ข้อควรระวังก่อนและหลังทำเลเซอร์
ก่อน - ควบคุมป้องกันตัวเองไม่ให้เกิดสิวเห่อสิวอักเสบในระหว่างการทำเลเซอร์ เนื่องจากการอักเสบจะลดทอนการฟื้นฟูผิวลดการกระตุ้นคอลลาเจนได้
หลัง - การดูแลผิวหลังเลเซอร์คือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผลลัพธ์ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยจำเป็นต้องทาครีมกันแดดอย่างเคร่งครัด SPF50+ วันละ 2 ครั้ง ปริมาณครั้งละ 2-3 ml และหลีกเลี่ยงการออกแดดออกกลางแจ้งโดยไม่มีเครื่องป้องกัน อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
การดูแลหลังการทำการรักษา
หลังทำการรักษาให้หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนน้ำในช่วง 24 ชม.แรก หลังจากนั้นสามารถทาบำรุงด้วยครีมที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ชั้นผิวอย่างต่อเนื่องจนกว่าสะเก็ดแผลจะหลุด (5-7 วัน) หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดในช่วง 2 สัปดาห์แรก หลังสะเก็ดหลุดผิวหน้าและรอยหลุมสิวจะค่อยๆดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลา 30-45 วัน
6 ปัจจัยในการทำเลเซอร์อย่างไรให้เห็นผลลัพธ์ดีที่สุด
- ความรู้เรื่องหลุมสิวของแพทย์ผู้รักษา : การวิเคราะห์ วางแผนการรักษา ว่าปัญหาที่เราเป็นนั้นดีขึ้นได้จากการทำเลเซอร์ไหม ต้องมีความรู้ รู้ลึก รู้จริง เกี่ยวกับหลุมสิว
- ความชำนาญของแพทย์ผู้รักษา : แม้เครื่องมือการรักษาเหมือนกัน แต่การวิเคราะห์ถึงที่มาของปัญหา การวางแผนการรักษา รวมถึงการปรับพลังงานของเครื่อง ไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาย่อมต่างกันค่ะ ประสบการณ์ในการรักษาก็สำคัญมากเช่นกันค่ะ
- เครื่องที่ใช้ : คุณภาพพลังงานของเครื่องที่ใช้ต้องดีที่สุด และต้องได้มาตราฐานผ่านการรับรองระดับ Worldwide พลังงานต้องเสถียรออกมาตามที่แพทย์ผู้ใช้ต้องการ
- การดูแลตัวเอง after care ของคนไข้เองก็สำคัญค่ะ
- ความต่อเนื่องในการรักษา
- ปัจจัยในตัวของคนไข้เอง ผิวคนไข้เอง เซลล์ผิวกรรมพันธุ์เดิม อายุเยอะ คอลลาเจนที่มีอยู่ก็ไม่ค่อยแข็งแรงแล้ว ทำแค่เลเซอร์เยอะแค่ไหนก็ไม่ค่อยเห็นผล >> ต้องฉีดเพิ่มด้วย เพื่อsynergyกัน คนที่อายุเยอะ ปัญหาไม่ได้มีแค่ที่ผิวชั้นบนแล้ว แต่ผิวชั้นล่างข้างในก็มีปัญหาด้วย(กระดูกทรุด เส้นเอ็นหย่อน ไขมันฝ่อ) ใช้แค่เลเซอร์กระตุ้น/เกลี่ยผิวด้านบนอย่างเดียว เลยไม่ค่อยเห็นผล ต้องแก้โครงสร้างข้างในด้วย
Q. : จะทราบได้อย่างไร ว่าหลุมสิวที่เป็นเหมาะกับการทำเลเซอร์หรือไม่?
จำเป็นต้องให้หมอทำการตรวจผิวอย่างละเอียด เพื่อประเมินพื้นฐานสภาพผิว ระดับความรุนแรงของหลุมสิว ความหนาแน่นของพังผืดที่ดึงรั้ง ข้อจำกัดของแต่ละบุคคล และชนิดของหลุมสิว จึงจะสามารถวางแผนการรักษาได
Q : ใครเป็นคนยิงเลเซอร์?
ดร. รมิตา ลงมือเองทุกเคสค่ะ
Q : ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล?
เป้าหมายหลักในการใช้เลเซอร์รักษาหลุมสิวของหมอ คือใช้เป็นเครื่องมือเสริมในการเก็บรายละเอียดหลุมขนาดเล็กๆ เกลี่ยปรับสภาพพื้นผิวโดยรวมให้สม่ำเสมอขึ้น และใช้เกลี่ยขอบหลุมที่หนาคมให้อ่อนตัวเรียบเนียนขึ้น ดังนั้นหมอจึงพยายามใช้จำนวนครั้งในการทำเลเซอร์ให้น้อยที่สุดแต่ให้เห็นผลได้มากที่สุดเมื่อทำควบคู่กับกลุ่มหัตถการสารฟื้นฟู
ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 3-5 ครั้ง ขึ้นกับสภาพผิวพื้นฐานและข้อจำกัดของแต่ละบุคคล ดังนี้
- คนผิวเข้ม อาจต้องทำเลเซอร์หลายครั้งมากกว่า เนื่องจากอาจไม่สามารถใช้พลังงานที่สูงได้
- ประเภทของหลุมสิว หลุมสิวที่ลึกกว่าย่อมต้องทำหลายครั้งมากกว่าหลุมสิวที่ตื้น
- ข้อจำกัดและเวลาในการพักหน้า
- ความคาดหวังและความพึงพอใจของแต่ละบุคคล
Q: การทำเจ็บมากไหม?
ขึ้นอยู่กับการปรับพลังงานและเทคนิคการยิงให้เหมาะกับหลุมสิวแต่ละบุคคล
- หลุมสิวระดับเล็กน้อย และเกลี่ยผิวระดับตื้น : แทบไม่เจ็บ แม้ไม่ทายาชา
- หลุมสิวระดับกลาง และเกลี่ยผิวระดับกลางขึ้นไป : อาจรู้สึกเจ็บมากขึ้น จะมีการทายาชา หรือฉีดยาชาให้เพิ่มเติม
Q : จะเห็นผลเมื่อไร?
โดยทั่วไปจะเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังทำเลเซอร์ที่ 1-2 สัปดาห์ และจะเกิดการปรับสภาพฟื้นฟูผิวขึ้นเรื่อยๆจนผลลัพธ์คงที่ที่ 4-6 เดือนเป็นต้นไป
Q : ราคาเท่าไร?
ขึ้นอยู่กับพื้นที่หลุมสิว ตัวยาเสริมการรักษา และโปรโมชั่นในแต่ละช่วง
ราคาเริ่มต้นครั้งละ 9,900 บาท