Last updated: 12 ธ.ค. 2567 | 57 จำนวนผู้เข้าชม |
การใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ในความงามและการรักษาหลุมสิว
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) มีบทบาทสำคัญในหลายวงการ เช่น อุตสาหกรรมและการแพทย์ รวมถึงในวงการความงาม โดยเฉพาะในการรักษาปัญหาผิวพรรณที่เกี่ยวข้องกับหลุมสิว การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และการตัดพังผืดใต้ผิว ในการแพทย์ด้านความงาม CO₂ ถูกนำมาใช้ในรูปแบบของ Carboxytherapy และ เลเซอร์ CO₂ ที่ช่วยในกระบวนการฟื้นฟูผิวหนัง
คุณสมบัติของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂)
การใช้ CO₂ ในวงการความงาม
1. Carboxytherapy:
Carboxytherapy คือการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์บริสุทธิ์ฉีดเข้าไปในชั้นใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
วิธีนี้นิยมใช้ในการรักษารอยแตกลาย (Stretch Marks), ลดเซลลูไลท์, ลดรอยดำใต้ตา และ รักษาหลุมสิว กระบวนการนี้ทำให้เกิดการขยายตัวของเส้นเลือดและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในบริเวณที่ฉีด ซึ่งส่งผลให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ส่งผลให้หลุมสิวตื้นขึ้นและผิวเรียบเนียนขึ้น
2. เลเซอร์ CO₂:
เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ หรือที่รู้จักในชื่อ Fractional CO₂ Laser เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาหลุมสิว โดยการใช้เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นประมาณ 10,600 นาโนเมตร ทำให้สามารถเจาะลึกเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักการทำงาน: เลเซอร์ CO₂ ทำงานโดยการสร้างความร้อนในชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดการลอกผิวหนังชั้นบน (epidermis) และทำให้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวหนังแท้ (dermis)
ผลลัพธ์: ผิวหนังที่ได้รับการรักษาจะมีการสร้างคอลลาเจนใหม่ที่ช่วยเติมเต็มเนื้อเยื่อที่ขาดหายและฟื้นฟูความยืดหยุ่นให้กับผิว ส่งผลให้หลุมสิวตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เลเซอร์ CO₂ ยังสามารถช่วยลดการสร้างพังผืด (fibrosis) ที่ทำให้หลุมสิวมีขอบลึกและชัดเจน
การรักษาด้วยเลเซอร์ CO₂ มักจะเห็นผลชัดเจนหลังการทำประมาณ 3-6 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความลึกและความรุนแรงของหลุมสิว
การรักษาหลุมสิวและการตัดพังผืดด้วย CO₂
ในการรักษาหลุมสิว โดยเฉพาะหลุมที่เกิดจากสิวประเภท Ice-pick scars และ Boxcar scars ซึ่งมีลักษณะหลุมที่ลึกและมีขอบที่ชัดเจน มักจะมีการเกิดพังผืด (fibrotic tissue) ที่ดึงเนื้อเยื่อลงไปใต้ผิว ทำให้การรักษาโดยทั่วไปยากและต้องใช้วิธีที่ลึกถึงชั้นผิวแท้
การตัดพังผืด (Subcision) เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ใช้เข็มหรืออุปกรณ์พิเศษเข้าไปใต้ผิวเพื่อ ตัดเส้นใยพังผืด ที่ยึดเกาะเนื้อเยื่อผิว ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น เมื่อใช้ร่วมกับการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะช่วยกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูผิวได้เร็วขึ้น โดย:
1. เพิ่มการไหลเวียนของเลือด: การฉีด CO₂ จะทำให้เส้นเลือดขยายและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้มีออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงบริเวณที่ได้รับการตัดพังผืดมากขึ้น
2. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: การที่เส้นเลือดมีการขยายตัวและการสร้างออกซิเจนเพิ่มขึ้น ทำให้กระบวนการสร้างคอลลาเจนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูสภาพผิวและการเติมเต็มหลุมสิว
3. ฟื้นฟูเนื้อเยื่อ: CO₂ ช่วยในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหายโดยการเพิ่มปริมาณออกซิเจน ทำให้การฟื้นฟูผิวหลังจากการตัดพังผืดเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ปฏิกิริยาของ CO₂ กับร่างกาย
การฉีด CO₂ เข้าไปในผิวหนังจะส่งผลให้เกิดปฏิกิริยา Bohr Effect ซึ่งเป็นกระบวนการที่เมื่อมี CO₂ เพิ่มขึ้นในเนื้อเยื่อ ร่างกายจะพยายามปล่อยออกซิเจนออกมาเพิ่มมากขึ้น ทำให้เนื้อเยื่อในบริเวณที่ฉีด CO₂ ได้รับออกซิเจนที่สูงขึ้น ซึ่งช่วยกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูและการสร้างคอลลาเจนใหม่ กระบวนการนี้ยังช่วยปรับปรุงสภาพผิวและทำให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น
ระยะเวลาการเห็นผลและการฟื้นตัว
การรักษาด้วย CO₂ ในรูปแบบ Carboxytherapy และเลเซอร์ CO₂ มักจะเห็นผลที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน:
Carboxytherapy: ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ชัดเจนหลังการรักษาประมาณ 4-6 ครั้ง โดยระยะห่างของการรักษาอยู่ที่ 1-2 สัปดาห์
เลเซอร์ CO₂: หลังการทำเลเซอร์ อาจมีอาการบวม แดง หรือผิวลอกเป็นขุยในช่วงแรก แต่จะเริ่มฟื้นตัวภายใน 7-10 วัน และผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะปรากฏใน 1-3 เดือน เมื่อกระบวนการสร้างคอลลาเจนเป็นไปอย่างสมบูรณ์
ข้อควรระวังและผลข้างเคียง
แม้ว่าการรักษาด้วย CO₂ จะปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงบางประการ เช่น
อาการบวม แดง หรือรอยช้ำชั่วคราวบริเวณที่ฉีด การติดเชื้อหรือการเกิดแผลเป็นหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม การเกิดสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอหากไม่ได้ป้องกันการสัมผัสแสงแดดอย่างเพียงพอ
การรักษาด้วย CO₂ ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เท่านั้น เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนและเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับเครื่อง CO2
แม้ว่าเทคโนโลยี CO2 จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการความงาม แต่ไม่ใช่ว่าเครื่องมือทุกยี่ห้อจะเหมือนกันทั้งหมด เครื่อง CO2 แต่ละรุ่นมีความแตกต่างในเรื่องของ: